
..เรียบร้อยด้วยมติเอกฉันท์ก้าวไกล “กำจัดเนื้อร้าย” ออกจากพรรค…@@
ท่าทางจัดหนัก-จัดเต็ม-จัดใหญ่-ไฟกะพริบ..พฤหัสบดีที่ ๙ พ.ย.นี้ กับรายการ”Chance of Possibility”(โอกาส ความเป็นไปได้) จากนโยบาย สู่การลงมือทำจริง ๖๐ วัน ภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน…แค่อุปโลกน์ชื่อรายการเป็นฝา-หรั่ง มาด้อยค่าภาษาไทย ก็เพลียระเหี่ยใจโคตรๆแล้ว-ไหนล่ะขุมพลังทุนวัฒนธรรมที่คุยโวโอ้อวด พวกมึงไม่อาย-กูอายนะ…@@
พินิจพิจารณาไส้ในมหกรรมอวดผลงาน ๖๐ วันรัฐบาลเศรษฐา เน้นโชว์ประเภท”ควิก-วิน”ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้-ขยายโอกาส ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์ คู่ขนานแพลตฟอร์มออนไลน์”เศรษฐา ทวีสิน-Srettha Thavisin” ตั้งแต่ ๑ ทุ่มตรงเป็นต้นไป..@@
ปฏิกิริยารัฐบาลเศรษฐา กับการกระตือรือร้นขึ้นเงินเดือนข้าราชการ แบบออกนอกหน้าดูมันช่างน่าสงสัยยิ่งนัก…ทำไมต้องรีบร้อนลนลานเพียงนี้? แถมผอ.สำนักงบประมาณ ก็ช่างขานรับฉับไวน่าประหลาดใจ..@@
ลืมหรือแกล้งลืม..โง่หรือแกล้งโง่กันแน่ เรื่องการปรับเงินเดือนข้าราชการ มีกลไก”คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ”(คงช.) ทำหน้าที่รับผิดชอบและใน คงช. มี รมว.คลัง เป็นประธาน…เป็นถึงนายกรัฐมนตรีอย่าเที่ยวสั่งอะไรเรี่ยราด มันเสียเครดิต…@@
กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(PDPA)บ้านนี้เมืองนี้ มีไว้แค่เป็นเครื่องมืออำนวยประโยชน์เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้คุ้มครองอะไรชาวบ้านได้เลย…เคสล่าสุด ข้อมูลส่วนบุคคล ๑๕ ล้านรายชื่อ จากโบรคเกอร์ประกันภัย ขายต่อมิจฉาชีพ แต่ ๑๗ อรหันต์ในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สงวนท่าทีสงบสยบเคลื่อนไหวอย่างยิ่ง ราวกับเป็น “กลไกไร้ตัวตน”
ความบกพร่องที่เป็นเหตุให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลออกไป เป็นสิ่งที่”โบรคเกอร์ประกันภัย” ในฐานะ”ผู้เก็บรักษาข้อมูล”ตามกฏหมาย ต้องรับผิดชอบ และต้องรับโทษตามกฏหมาย โดยไม่มีการ”ละเว้น” ด้วยเหตุ”สุดวิสัย” นอกเสียจากว่ามีเหตุชวนสงสัยในผลประโยชน์แอบแฝงระหว่าง”ผู้กระทำความผิด” กับ”ผู้รักษากฏหมาย”…@@
ปิดท้ายสวนข่าววันนี้…อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศจุดยืนไม่ยอมรับร่างกฏหมายกีดกันการเงินฮามาส (Hamas International Financing Prevention Act) ของสหรัฐอเมริกา ที่มีเป้าหมาย”ตัดท่อน้ำเลี้ยง”ฮามาส และมุ่งบังคับให้ทุกประเทศต้องทำตาม…@@
ท่าทีของผู้นำมาเลเซีย ต่อกรณีนี้เด็ดเดี่ยว-แข็งกร้าว-ชัดเจน..”เราขอปฏิเสธมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวที่กำหนดโดยสหรัฐ…การคว่ำบาตรใดๆก็ตามต่อมาเลเซีย อาจมีผลต่อรัฐบาลสหรัฐ และบริษัทสหรัฐ ตลอดจนโอกาสการลงทุนของบริษัทสหรัฐในมาเลเซีย…”…ที่นี่ประเทศไทย นายกรัฐมนตรียังไม่มีท่าทีใดๆทั้งสิ้น @@
ฮูก ตาตี่