ปฏิกิริยาสะท้อนความคิดเห็นต่อนโยบายแจกฟรี ๑ หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตแก่พลเมืองไทยอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเศรษฐาแห่งพรรคเพื่อไทย กำลังเกิดการปะทะกันระหว่าง”ขั้วเชียร์” กับ”ขั้วค้าน” และส่อเค้าจะทวีความเข้มข้น รุนแรง กระทั่งยกระดับกลายเป็น”พายุหมุนหมุนทางการเมืองระลอกใหม่”
ความเห็นต่างระหว่างขั้วความคิด ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปฝ่ายใดถูก-ฝ่ายใดไม่ถูก หรือฝ่ายใดเห็นแก่ชาติ-ฝ่ายใดเห็นแก่ตัว ?
ทำไมเป็นยังงั้น ???
คำตอบคือทุกความคิดเห็น ล้วนมีที่มาจาก”ภาพฝันในจินตนาการ” ผสมผสานกับชุดข้อมูลเดิม แล้วแต่งเติมด้วยชุดความคิดที่ปนเปื้อนด้วยมายาคติ
จนถึงตอนนี้ ขณะที่พลเมืองไทยแบ่งแยกเป็น ๒ ขั้ว:”เอา”กับ”ไม่เอา”ดิจิทัลวอลเล็ตชัดเจน ยังคงปราศจากข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จากทุกคนในรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีที่นั่งยันยืนยันนอนยัน เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต ก็กลวงโบ๋ในรายละเอียดของนโยบาย….
สิทธิในการได้รับแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะครอบคลุมพลเมืองสัญชาติไทยอายุ ๑๖ ปีขึ้นไปทุกคน..ทุกครัวเรือน..ทุกฐานะทางเศรษฐกิจ…และทุกสถานภาพ โดยปราศจากข้อยกเว้นกรณีนักโทษ-ผู้ต้องขัง-นักบวช หรือไม่อย่างไร….ไม่รู้-ไม่มีคำตอบ !!
แหล่งที่มาของเงินที่จะเสกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต มาจากไหน..มายังไง…เป็นภาระหนี้สาธารณะ…เป็นภาระงบประมาณ หรือไม่อย่างไร…ไม่รู้-ไม่มีคำตอบ!!
กลไกกระบวนการบริหารจัดการให้เงินดิจิทัลวอลเล็ต ทำหน้าที่เสริมเติมความแข็งแรงแก่ระบบหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจชุมชน ปั๊มอัตราการเต้นของชีพจรเศรษฐกิจให้คึกคักจะทำกันอย่างไร…ไม่รู้-ไม่มีคำตอบ !!
คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเงินดิจิทัล หรือ “คณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต” ที่ประกอบร่างขึ้นจากรองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรี-ปลัดกระทรวง-ผู้ว่าธปท.-ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ-เลขาธิการสภาพัฒน์-เลขาธิการกฤษฏีกา-อัยการสูงสุด-ผบ.ตร. ไม่มีหลักประกันใดๆที่จะเติมเต็มความโหวงเหวง ไขข้อข้องใจในนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตให้เกิดความกระจ่าง และสร้างความมั่นใจในสรรพคุณของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตให้บังเกิดขึ้น
ตราบใดก็ตามที่รัฐบาลไม่มีข้อมูลจากฐานความรู้ทางวิชาการที่เชื่อถือได้ในคุณูปการของดิจิทัลวอลเล็ต แล้วดันทุรังเดินหน้านโยบายนี้ โดยไม่นำพาต่อการผลักประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงขั้นมหันต์
เห็นทียากจะหยุด…พายุหมุนทางการเมืองรอบใหม่ !!!
ศักดิ์ชัย พฤฒิภัค
๗ ต.ค. ๒๕๖๖
ดิจิทัลวอลเล็ต..พายุหมุนการเมืองระลอกใหม่!!!
Related Posts
ส่องชีพจรปากท้องไทย ๒๕๖๗ โคตรเพี้ยน !!
หนี้ธุรกิจท่วมกว่า ๑๕๕% ของจีดีพี แต่”ทำใบ้”
๓๖๖ วันของศักราช ๒๕๖๗ ปีมะโรง งูใหญ่ ที่กำลังผ่านพ้นไป บรรดาสำนักเศรษฐกิจทั้งระดับชาติ และระดับโลก ล้วนทำนายทายทักชีพจรปากท้องไทย เพี้ยน-เพี้ยน-เพี้ยน ไปจากความจริงโดยพร้อมเพรียงกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีท่านผู้ว่าการที่หยิ่งทะนงในเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง พยากรณ์ชะตากรรมเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๗ เพี้ยนรุนแรงกว่าใครๆ โดยคาดการณ์จีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ จะอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นจากปี ๒๕๖๖ สูงลิบลิ่วถึง ๔.๔%….มิน่าถึงได้มั่นอกมั่นใจยืนดอกเบี้ยนโยบายไว้แข็งทื่อ
ทำนองเดียวกันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เคยบีบคั้นกดดันรัฐบาลไทยสารพัดในช่วงที่เราเผชิญวิบากกรรมวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ก็เพี้ยนในระดับเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยการคาดการณ์อัตราการเติบโตจีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ ไว้ที่ ๔.๔%
ธนาคารโลก..ฝาแฝดไอเอ็มเอฟ ก็พยากรณ์เพี้ยน แต่ไม่สาหัสเท่าไอเอ็มเอฟ โดยคาดการณ์จีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ จะโต ๓.๒% สูสีกับคำพยากรณ์ของธนาคารพัฒนาเอเซีย (เอดีบี) ที่ทำนายทายทักจีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ ไว้ที่ ๓%
หันมาโฟกัส”ความเพี้ยน”ของคำพยากรณ์องค์กรเศรษฐกิจภาครัฐ นอกเหนือจากแบงก์ชาติผู้ทรนงกันบ้าง…
สภาพัฒน์ฯ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พยากรณ์จีดีพีปี ๒๕๖๗ เอาไว้เท่ากันที่ ๓.๒%
สำหรับองค์กรเศรษฐกิจภาคเอกชน ก็เพี้ยน-เพี้ยน-เพี้ยนตามๆกัน
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย-ศูนย์วิจัยธนาคารทีทีบี และศูนย์วิจัยธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ทำนายจีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ ไว้เท่ากันที่ ๓.๑% ขณะที่ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย และศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์จีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ ไว้เท่ากันที่ ๓.๐% ส่วนศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดการณ์จีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ ไว้สวยหรูดูดีถึง ๓.๔%
๓๖๖ วันผ่านไป…ความจริงของจีดีพีไทยปี ๒๕๖๗ เพี้ยนไปจากคำทำนายทุกสำนักเศรษฐกิจที่เคย”ฟันธง”ไว้ก่อนสิ้นปี ๒๕๖๖ อย่างสิ้นเชิง
จีดีพีปี ๒๕๖๗ ที่คาดการณ์อยู่ระหว่าง ๓.๐-๔.๔%
จีดีพีปี ๒๕๖๗ ที่เป็นจริงคือ…โตแค่ ๒.๖% หรือมีค่าความ”เพี้ยน” สูงลิ่วถึงกว่า ๔๐%
เบื้องลึกก้นบึ้งความเพี้ยน….ถามว่าเป็นเหตุสุดวิสัยมั้ย?
คำตอบน่าจะ”ไม่ใช่”
คำตอบน่าจะมาจากความจงใจ”ละเว้น”ไม่จับเอา”หนี้ภาคธุรกิจ”มาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์
บรรดาสำนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย เหมือน”เตี๊ยมกัน” ให้โฟกัสอยู่แค่”หนี้สาธารณะ” ๑๒ ล้านล้านบาท กับ”หนี้ครัวเรือน” ๑๖ ล้านล้านบาท” โดยรวมหัวกันไม่ข้องแวะแตะต้อง”หนี้ภาคธุรกิจ” ที่มีขนาดมหึมาเท่ากับ”หนี้สาธารณะ+หนี้ครัวเรือน” คือ ๒๘ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงลิบลิ่วถึงกว่า ๑๕๕% ของจีดีพี
อนาคตชะตากรรมเศรษฐกิจประเทศไทยปีใหม่ ๒๕๖๘ มีความเสี่ยงสูงยิ่งที่จะเผชิญวิบากกรรมสาหัสสากรรจ์อันเนื่องมาจากหนี้ภาคธุรกิจที่สูงกว่าจีดีพีถึง ๑.๕๕ เท่าตัวนี่แหละ….
ไม่ได้เพี้ยน และไม่ได้ขู่ แต่มันคือสัญญาณอันตรายร้ายแรงของจริง !!!
ศักดิ์ชัย พฤฒิภัค
๓๑ ธ.ค.๒๕๖๗
แง่งามในความเป็น “เพลิน พรหมแดน” หาใช่แค่ผู้บุกเบิกเพลงพูด หรือลูกทุ่งแรป..
อีกด้านที่งดงามในแง่มุมชีวิตของเพลิน พรหมแดน ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก เพลิน พรหมแดน สนใจศึกษาธรรมกราบหลวงตามหาบัวเป็นครูบาอาจารย์ และปรวณาตนบำรุงคณะสงฆ์สายธรรมยุต สละทรัพย์บูรณะวัดกิโลสาม หรือวัดศรีอุทัย จนได้รับการยอมรับว่าเป็นวัดในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต ของ อ.อรัญประเทศ มาจนทุกวันนี้